10 สัญญาณ เตือนภัยรถของคุณ

คนใช้รถทุกวันนี้ บางคนอาจจะแค่ขับไปทำงานแล้วกลับบ้าน บางคนก็ขับไปไกล ๆ ถึงต่างจังหวัด มีหลายคนที่ขับอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจหรือเอาใจใส่รถของตัวเองว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง ทั้งที่รถทุกคัน ควรได้รับการดูแลและตรวจเช็คก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในชีวิต โต ออโต้คาร์ จะมาแนะนำวิธีตรวจเช็ครถของคุณเบื้องต้น กับ 10 สัญญาณเตือนที่จะบ่งบอกได้ว่ารถของคุณนั้นอาการน่าเป็นห่วง
1. สัญญาณเตือน
เราสามารถรับสัญญาณบอกอาการผิดปกติของรถได้ โดยใช้ประสาททั้ง 5 คือ การเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การจับต้องชิ้นส่วนนั้น ๆ และการลองขับดู ถ้าสังเกตพบสิ่งผิดปกติต่อไปนี้ ให้รีบทำการตรวจเช็คและซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม
2. เครื่องยนต์
เครื่องยนต์คือหัวใจของรถ
ถ้าเครื่องยนต์มีอาการดังนี้
– เครื่องร้อนจัดเกินไป ขับไปได้ไม่เท่าไร
ความร้อนก็ขึ้นสูงเสียแล้ว
– เครื่องเย็นเกินไป
แม้จะขับมาระยะทางไกลพอสมควรแล้ว เข็มวัดอุณหภูมิยังไม่กระดิก
– มีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์
ควรนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
3. ยาง
การสึกหรอของดอกยางแบบต่าง
ๆ บอกเราได้ว่ายางผิดปกติไปอย่างไร
– ดอกยางตรงกลางล้อ สึกหรอมากกว่าขอบ
แสดงว่าเติมลมแข็งเกินไป
– ดอกยางขอบล้อ สึกหรอมากกว่าตรงกลาง
แสดงว่าเติมลมอ่อนเกินไป
– ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง
แสดงว่ามุมแนวตั้งของยางไม่ตรง
– ดอกยางเป็นบั้ง ๆ
แสดงว่าแนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ
นำรถเข้าอู่เพื่อตั้งศูนย์ล้อ หรือปรับแรงดันลมยางใหม่
4. คลัทซ์
คลัทซ์ที่มีปัญหา
จะทำให้ควบคุมเกียร์ไม่ได้ อย่าละเลยอาการเหล่านี้
– คลัทซ์ลื่น หรือเข้าคลัทซ์ไม่สนิท
หรือเหยียบแป้นคลัทซ์แล้ว แต่ยังเข้าเกียร์ได้ยาก
– คลัทซ์มีเสียงดัง เมื่อเหยียบแป้นคลัทซ์
– แป้นคลัทซ์สั่นขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะกำลังขับ
ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมช่วงล่าง
หรือศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
5. เกียร์
เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงบิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็ว
สัญญาณบอกเหตุว่าเกียร์มีปัญหาคือ
– มีเสียงดังทั้งในขณะอยู่ที่เกียร์ว่าง
หรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่งอยู่
– เปลี่ยนเกียร์ยาก มีอาการติดขัด
หรือต้องขยับอยู่นาน
– มีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ ทั้ง ๆที่เหยียบคลัทซ์แล้ว
– ห้องเกียร์มีน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา
ควรนำรถเข้าอู่ตรวจสอบห้องเกียร์
6.พวงมาลัย
พวงมาลัยที่มีปัญหาเหล่านี้
จะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ยางเฟืองท้าย ชำรุดตามไปด้วย
– พวงมาลัยหนัก
หรือต้องใช้แรงมากผิดปกติในการบังคับเลี้ยว
– พวงมาลัยหลวมเกินไป โดยมีระยะฟรีเกิน 1 นิ้ว
– พวงมาลัยสั่นในขณะขับ
ควรนำเข้าศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ
7. เบรก
ถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติ
ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเบรกชำรุด นำมาซึ่งอุบัติภัยได้ง่ายที่สุด
– เบรกลื่น หยุดรถไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ
– เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง
– แป้นเบรกยังจมลึกลงไปทั้ง ๆ ที่ถอนเท้าออกมาแล้ว
ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมเบรกทันที
8. ไฟชาร์จ
ไฟชาร์จ ควรจะปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดทุกครั้งที่เราสตาร์ทเคร ื่อง และเมื่อสตาร์ทติดแล้ว ครู่หนึ่งก็จะดับลง แต่ถ้าไฟชาร์จไม่สว่าง หรือสว่างแล้วไม่ยอมดับ อาจเกิดจากไดชาร์จผิดปกติหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้ ที่แน่ ๆ คือไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ รีบนำรถเข้าอู่ไดชาร์จหรือระบบไฟ
9. หลอดไฟ
หลอดไฟขาดบ่อย ๆ หรือต้องเติมน้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่บ่อยเกินไป แสดงว่าอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า “เรกูเลเตอร์” ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟให้เหมาะสมชำรุด ควรนำรถเข้าอู่ระบบไฟ เพื่อซ่อมเรกูเลเตอร์ หรือหากชำรุดก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่
10. น้ำมันหล่อลื่น
ถ้าสัญญาณไฟเตือนระบบน้ำมันหล่อลื่นสว่างขึ้นในขณะขั
บขี่รถยนต์ หมายถึงว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานโดยปราศจากน้ำมันหล่ อลื่น
รีบนำรถไปยังอู่ที่ใกล้ที่สุดทันที
ถ้าอู่อยู่ไกล
ให้เติมน้ำมันเครื่องใส่ลงในถังน้ำมันหล่อลื่นไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
แต่ถ้าเป็นสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นแห้ง ควรใช้รถลากไปอู่ซ่อม