…
ทำไมรถเก๋ง 4 ประตู จึงไม่มี “ที่ปัดน้ำฝน” เหมือนกับรถแฮทช์แบ็ก 5 ประตู?
หลายๆคนคงเคยสงสัยกันแน่ๆว่าทำไมรถแฮทช์แบ็กและเอสยูวีแทบทุกรุ่น ถึงต้องมีที่ปัดน้ำฝนที่กระจกหลังมาให้ด้วยกันแน่ ซึ่งต่างจากรถเก๋ง 4 ประตูที่แทบจะไม่มีรุ่นใดเลยที่ติดตั้งมาให้ วันนี้ โตออโต้คาร์ | ศูนย์รวมรถยนต์มือสองมาตรฐานที่คุณวางใจ จะพาทุกๆท่านมาหาคำตอบกันครับว่าทำไมรถเก๋ง 4 ประตู จึงไม่มี “ที่ปัดน้ำฝน” เหมือนกับรถแฮทช์แบ็ก 5 ประตู?
เหตุผลแรก คือ “แอโรไดนามิกส์”
สาเหตุหลักที่รถ Hatchback, SUV และ MPV รวมถึงรถประเภทอื่นๆ ที่ออกแบบให้มีกระจกหลังแนวตั้งเป็นเพราะหลักอากาศพลศาสตร์นั่นเอง เนื่องจากว่ารูปทรงของรถยนต์ประเภทนี้จะก่อให้เกิดลมหมุนช่วงท้ายรถขณะเคลื่อนที่แหวกอากาศไปทางด้านหน้า จึงทำให้สิ่งสกปรกต่างๆ ย้อนกลับมาสะสมอยู่ที่บริเวณกระจกบานหลังรวมไปถึงประตูท้ายได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง จึงจำเป็นต้องมีที่ปัดน้ำฝนเพื่อรักษาทัศนวิสัยให้ดูดีเอาไว้อยู่เสมอ
ในขณะที่รูปทรงของรถซีดาน 4 ประตูหรือรถเก๋งนั้น จะก่อให้เกิดลมหมุนได้เช่นกัน แต่ว่าจะเกิดขึ้นบริเวณช่วงฝากระโปรงท้ายเพียงเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีผลในเรื่องของทัศนวิสัยนอกเสียจากมีเม็ดฝนที่ตกลงมาก็แค่เพียงเท่านั้น
บทความรถมือสองจาก โต ออโต้คาร์(ToAutocar)เหตุผลที่สอง คือ “อัตราสิ้นเปลือง”
เนื่องจากรถซีดาน 4 ประตูจะมีบานกระจกหลังขนาดใหญ่กว่ารถแฮทช์แบ็ค 5 ประตูอยู่พอสมควร ดังนั้นหากต้องการจะติดตั้งที่ปัดน้ำฝนที่กระจกหลังแล้วนั้น จึงจำเป็นต้องออกแบบก้านปัดให้มีขนาดยาวกว่าปกติอีกด้วย แถมยังจะเสียพื้นที่ในการติดตั้งมอเตอร์ปัดน้ำฝนจนอาจส่งผลกระทบต่อทัศนวิสัยได้ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ การติดตั้งใบปัดน้ำฝนหลังในรถซีดาน 4 ประตู จะส่งผลกระทบต่อแอโรไดนามิกส์ของตัวรถยนต์ไปในสิ้นเชิง เนื่องจากรถยนต์ซีดานมีลักษณะลู่ลมกว่ารถท้ายตัดอย่างที่กล่าวไป ข้างต้นแล้ว ซึ่งจะทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้นกว่าปรกตินั่นเอง
บทความรถมือสองจาก โต ออโต้คาร์(ToAutocar)นั่นยังไม่รวมถึงการที่วิศวกรจะต้องออกแบบรูปทรงของกระจกบานหลังและฝากระโปรงท้ายแบบใหม่ให้เป็นพิเศษอีกด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบกับที่ปัดน้ำฝนไม่ว่าจะเปิดใช้งานในสถานการณ์ใดๆก็ตาม ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมรถซีดาน 4 ประตู จึงไม่นิยมติดตั้งที่ปัดน้ำฝนหลังมาให้นั่นเองครับ
Top